วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การคั่ว & การเบลน กาแฟ


การคั่ว
 การคั่วกาแฟ คือกระบวนการที่ทำให้เมล็ดกาแฟอุณหภูมิสูงขึ้น จากระดับอุณหภูมิห้องไปจนถึง 200 – 230 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 400 – 450 องศาฟาเรนไฮต์
ในระหว่างการคั่ว น้ำและความชื้นที่อยู่ภายในเมล็ดกาแฟจะถูกไล่ออกไป ทำให้สีของเมล็ดกาแฟเริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวแห้ง ๆ เป็นสีเขียวมัน เงา แล้วกลายเป็นสีน้ำตาลซีด จากนั้นจะค่อย ๆ เข้มขึ้นตามลำดับ หากคั่วจนเข้มมาก ๆ น้ำมันที่อยู่ภายในเมล็ดกาแฟจะหลั่งออกมาและเคลือบเมล็ดกาแฟจนเป็นเงามัน
เมล็ดกาแฟที่คั่วสุกแล้วน้ำหนักจะเบาขึ้นประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากน้ำและความชื้นถูกไล่ออกไป แต่จะมีขนาดใหญ่ขึ้นประมาณ 1 เท่าตัวเลยทีเดียว ยิ่งคั่วเข้มมาก น้ำหนักก็จะหายไปมาก แต่ขนาดก็จะใหญ่มากขึ้น
เครื่องคั่วกาแฟนั้นมีหลายแบบ หลายขนาด ตั้งแต่เครื่องคั่วขนาดเล็ก แบบที่ใช้ได้ตามบ้านหรือห้องทดลอง ไปจนถึงขนาดกลาง และขนาดใหญ่ แบบที่ใช้ในร้านหรือโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งมีทั้งแบบที่ใช้ความร้อนโดยตรง หรือแบบที่ใช้อากาศร้อนเป็นตัวทำให้เมล็ดกาแฟสุก

ผู้คั่ว หรือผู้ควบคุมเครื่องคั่ว (Roast Master) ต้องมีความเชี่ยวชาญในการดูสี หรือเทียบสีของเมล็ดกาแฟที่คั่วได้ และจะต้องทราบถึงคุณสมบัติของเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดเป็นอย่างดี จึงจะได้เมล็ดกาแฟคั่วที่มีคุณภาพ และรสชาติตามที่ต้องการ
ในขั้นตอนการคั่ว สีของเมล็ดกาแฟเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะโดยส่วนใหญ่เราจะใช้สีของเมล็ดกาแฟที่คั่วแล้วเป็นตัวแบ่งระดับความ เข้มของกาแฟ ซึ่งหมายถึงการบ่งบอกคุณสมบัติและรสชาติของกาแฟด้วยเช่นกัน
การแบ่งระดับความเข้มของกาแฟด้วยสีนั้นไม่มีกฎเกณฑ์ ตายตัว ในแต่ละระดับจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 4 ระดับ
ระดับแรกสุดคือ ระดับอ่อน หรือ Light Roast มีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น Half City หรือ Cinnamon Roast กาแฟที่คั่วระดับนี้จะมีสีน้ำตาลอ่อน คล้ายสีของซินนาม่อน หรืออบเชยนั่นเอง
การคั่วระดับนี้ เรียกได้ว่าเป็นระดับการคั่วที่คงความหอมและคุณสมบัติดั้งเดิมของกาแฟไว้ได้ มากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วจะมี Acidity หรือความเปรี้ยว สดชื่นสูง และมีรสฝาดอยู่มาก
ระดับปานกลาง หรือ Medium Roast ซึ่งในบางครั้งจะมีผู้เรียกว่า Full City บ้าง หรือ American บ้าง เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้มปานกลาง ให้รสชาติขมปนหวาน มีความเปรี้ยวเล็กน้อย เป็นระดับการคั่วที่ให้ความกลมกล่อมของกลิ่นและรสชาติของกาแฟได้ดีที่สุด
ระดับเข้ม หรือ Dark Roast และยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีกเช่น Continental Roast หรือ Vienna Roast เมล็ดกาแฟที่คั่วในระดับนี้จะมีสีน้ำตาลค่อนข้างเข้ม มีรสชาติขม ปนหวานเล็กน้อย แต่ไม่เปรี้ยว มีกลิ่นฉุนของกาแฟคั่วปนกับกลิ่นหอมของกาแฟแท้ ๆ

สุดท้ายคือระดับเข้มมาก หรือ Very Dark Roast ซึ่งยังเรียกกันไปต่าง ๆ อีก เช่น French Roast , Italian Roast หรือ Espresso เมล็ดกาแฟจะมีสีน้ำตาลเข้ม เกือบดำ มีน้ำมันเคลือบอยู่จนมันเป็นเงา รสชาติค่อนข้างขม มีความหวานอยู่บ้างเล็กน้อย ไม่มีความเปรี้ยวหลงเหลืออยู่เลย และมีกลิ่นกาแฟคั่วที่ฉุนกว่าระดับอื่น
อย่างไรก็ดี ไม่มีตัววัดที่แน่ชัดลงไปว่า การคั่วและสีในระดับต่าง ๆ นั้น ระดับใดจะได้รสชาติมาตรฐานที่สุด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับชนิดของเมล็ดกาแฟดิบ วิธีการชงแบบต่าง ๆ รวมทั้งความพึงพอใจของผู้ดื่มอีกด้วย 

การ Blend
นอกจากการคั่วที่จะส่งผลโดยตรงต่อรสชาติของกาแฟแล้ว การ “Blend” หรือการผสมกาแฟชนิดต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดกาแฟรสชาติใหม่ๆ ที่มีความแปลกและแตกต่างกันออกไป ก็ถือเป็นการสร้างสรรค์รสชาติ อันเป็นศิลปะเฉพาะตัวของผู้คั่วแต่ละราย ซึ่งการ Blend นี้สามารถทำได้ทั้งก่อนการคั่ว หรือหลังการคั่ว

กาแฟคั่วบดที่มีขายกันอยู่ทั่วไปนั้น นอกจากกาแฟผสมที่ Blend ตามสูตรเฉพาะของผู้คั่วแต่ละราย ซึ่งอาจเรียกชื่อตามระดับของการคั่วเช่น เฟร้นช์ เบลนด์, เวียนนา เบลนด์, อเมริกัน เบลนด์, เอสเปรสโซ่ หรือบางครั้งอาจเรียกชื่อตามที่ผู้คั่วแต่ละรายตั้งขึ้น เช่น โอโร่, คอนติเนนตัล เบลนด์, อราบิก้า สเปเชี่ยล แล้ว ยังมีอีกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Straight Coffee หรือ Single Origin ซึ่งหมายถึงกาแฟที่มาจากแหล่งต่างๆ โดยตรง ไม่มีการผสม และนิยมเรียกชื่อตามแหล่งที่มาของกาแฟชนิดนั้นๆ เช่น Blue Mountain, Brazil Santos, Kenya, Costa Rica เป็นต้น
กาแฟเหล่านี้จะถูกคั่วในระดับอ่อนหรือปานกลางเท่า นั้น เพื่อเป็นการรักษาคุณลักษณะเด่นของกาแฟชนิดนั้น ๆ ไว้ให้ได้มากที่สุด เทคนิคที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าศิลปะในการ Blend นั่นคือการทดสอบรสชาติของกาแฟด้วย “การชิม” หรือที่เรียกว่า Cup Taste
นอกจาก Cup Taste จะเป็นการทดสอบกาแฟรสชาติใหม่ๆ แล้ว ยังเป็นการทดสอบมาตรฐานรสชาติของกาแฟที่ผลิตได้อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากเมล็ดกาแฟดิบจะมีคุณสมบัติเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาและสภาพ การเก็บรักษา

วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554

จากฝิ่นสู่กาแฟระดับโลก

                ดอยช้างถือเป็นแหล่งกำเนิดกาแฟของประเทศไทยที่ตอนนี้มีชื่อเสียงในระดับโลกไปแล้ว โดยก่อนหน้าที่จะมีการปลูกกาแฟ บนดอยช้างเต็มไปด้วยฝิ่น และต่อมาก็ได้มีพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้มีการปลูกพืชทดแทนฝิ่น  จึงได้มีการทดลองปลูก"กาแฟ"  แต่ก็ประสบกับปัญหาใหญ่ ก็คือ กาแฟขายไม่ได้ เนื่องจากพี่น้องชาวเขาไม่สามารถลงมาขายได้เพราะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน  ทำให้ "อาเดล" ซึ่งเป็นผู้ใหญ่บ้านต้องลงมาขอคำปรึกษากับพี่วิชาให้ช่วยหาทางเพื่อที่จะขาเม็ดยกาแฟ  เพื่อทำให้พี่น้องชาวเขามีรายได้เลี้ยงครอบครัว แต่ก็เจอปัญหาอีก คือ พ่อค้าคนกลางกดราคาเม็ดกาแฟ จากกิโลกรัมละ 60 บาท เหลือกิโลกรัมละ 30 บาท แต่ก็ต้องจำใจขายเพราะการนำกาแฟลงมาจากดอยช้างในสมัยก่อนค่อนข้างลำบาก ถ้าจะให้นำกลับขึ้นไปบนดอยอีกคงไม่คุ้ม แต่พี่วิชา และพี่น้องชาวดอยช้างก็ได้ร่วมกันต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆจนเดี๋ยวนี้ถ้าพูดถึง"กาแฟดอยช้าง" บรรดาคอกาแฟคงไม่มีใครไม่รู้จัก เท่านั้นยังไม่พอกาแฟดอยช้างยังสร้างชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศอีกด้วย  ทำให้พี่วิชา กลายเป็น My idol ไปแล้ว และเป็นแรงบันดาลใจทำให้เกิดบล็อกนี้ขึ้นมา



บ้านดอยช้างบ้านดอยช้าง ตั้งอยู่หมู่ที่ ๓ ตำบลวาวี อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย 57180 เดิมเป็นที่อยู่ของชาวเขาเผ่าม้ง ปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ชนเผ่าลีซอได้อพยพเข้ามาตั้งเป็นหมู่บ้านดอยช้าง ปี พ.ศ.๒๕๒๖ ชนเผ่าอาข่าได้เข้ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านดอยช้าง ชื่อ "บ้านดอยช้าง" ตั้งขึ้นตามลักษณะของภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนช้างแม่ลูกสองเชือก หันหน้าไปทางทิศเหนือ(ตัวจังหวัดเชียงราย) สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่บริเวณโรงเรียนบ้านดอยช้าง มี ผาหัวช้าง สูง 1,800 เมตร จากระดับน้ำทะเล เป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศเย็นสบายตลอดปี อุณหภูมิเฉลี่ย 18 องศาเซลเซียส

การเดินทางขึ้นสู่ดอยช้าง 
การเดินทาง มีเส้นทางขึ้นได้ ๓ สาย คือ
๑.สายอำเภอแม่สรวย -บ้านตีนดอย-แสนเจริญ-ดอยล้าน-ดอยช้าง {ระยะทาง ๒๘ กิโลเมตร (จากเชียงราย ๗๕ กิโลเมตร) }
๒. สายห้วยส้าน (อ.แม่ลาว) -ห้วยส้านลีซอ - เกษตรฯ- ดอยช้าง {ระยะทาง ๑๕ กิโลเมตร }
๓. สายอำเภอแม่สรวย-บ้านตีนดอย- ริมเขื่อนแม่สรวย - ทุ่งพร้าว - ห้วยไคร้ - ดอยช้าง {ระยะทาง ๓๐ กิโลเมตร}

จากเชียงราย เดินทางมาตามทางหลวงหมายเลข 118 ถึงบ้านตีนดอย ก่อนถึง อ.แม่สรวย ราว 10 กิโลเมตร แยกขวาเข้าที่บ้านตีนดอยไปยังบ้านทุ่งพร้าว ระยะทาง 20 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวขวาเข้าสู่บ้านดอยช้าง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร เมื่อมาถึง จุดชมวิวดอยช้าง บริเวณโดยรอบถูกประดับด้วยดอกไม้เมืองหนาวออกดอกสีสดใสตลอดเส้นทางเข้าดอยช้างจะบานสะพรั่งไปด้วยดอกซากุระ หรือนางพญาเสือโคร่ง สีขาวอมชมพู และได้ตื่นเต้นกับ ดอกท้อ สีชมพูอ่อนและผลท้อที่กำลังเติบโต ลูกเท่าหัวแม่มือที่หาดูได้ยาก และที่นี่เป็นแห่งเดียวของประเทศไทยที่จะมีโอกาสได้เห็น ดอกซากุระขาวบาน ทั่วดอยด้วยเช่นกัน ในบริเวณจุดชมวิวทัศนียภาพโดยรอบสามารถมองเห็นทิวเขาสลับซับซ้อนกันไปอย่างสวยงาม มองเห็นไปถึงเมืองยองในประเทศพม่า และชัยภูมิที่ตั้งของ อ.เมือง จ.เชียงราย


จากจุดชมวิวดอยช้าง เดินทางต่อมาอีกราว 2 กิโลเมตร ก็จะถึง พุทธอุทยานดอยช้าง ซึ่งมีหลวงพ่ออำนาจ สีลคุโณ ได้มาปฏิบัติธรรมจำพรรษาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ปี 2532 เป็นผู้ดูแลรักษาพุทธอุทยาน ดอยช้าง ยังคงสภาพความเป็นธรรมชาติของป่าไม้ไว้ได้อย่างสมบูรณ์มาก มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่กลางพุทธอุทยาน มีสีเขียวมรกตบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย มีเสียงกบเขียดร้องอยู่ตลอดเส้นทางเดินไปสู่ ลานพุทธสถานที่มีพระพุทธรูปปางต่างๆไว้ให้ประชาชนได้กราบไหว้สักการะบูชา ถัดจากลานพุทธสถานก็มุ่งตรงสู่ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่มีน้ำไหลเข้าไปในบ่ออยู่ตลอดเวลาไม่เคยเหือดแห้ง และน้ำก็ยังใสสะอาดเย็นฉ่ำตลอดทั้งปี น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่พุทธอุทยานดอยช้างแห่งนี้ เป็น 1 ใน 9 ของน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่นำไปกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาพุทธมังคลาภิเษก เนื่องในวโรกาศที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มีพระชนมายุครบรอบ 60 พรรษา

นอกจากนั้นสามารถชม ศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตเชียงราย (สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี) และ ชมทะเลหมอกบนดอยกาดผี ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 1,650 เมตร เล่ากันว่าในช่วงฤดูหนาวสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้รอบทิศ 360 องศา ลงจากดอยกาดผี จากนั้นสามารถเดินทางไปชม สวนชาของตำบลวาวี ซึ่งว่า เป็นการปลูกชาครั้งแรกในประเทศไทย เริ่มต้นที่ดอยวาวีแห่งนี้ก่อนเป็นที่แรก และยังมีต้น ชาพันปี อยู่ที่กลางป่าในเขตบ้านใหม่พัฒนา ขนาด 3 คน โอบ และชม สวนส้มพันธุ์สายน้ำผึ้งก่อนเดินทางไปบ้านวาวีเพื่อ ชมวิถีชีวิตชนเผ่า ที่มีความเป็นอยู่อย่างสุขสงบอยู่รวมกันอย่างสมานฉันท์ เอื้ออาทรต่อกันทั้งหมด 13 ชนเผ่า และมีโรงเรียนสอนภาษาจีนชื่อ โรงเรียนกวางฟูวิทยาคม ตั้งอยู่ที่นี่ เด็กนักเรียนตำบลวาวี สามารถเรียนภาษาจีนได้ฟรีหรือเสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก จึงเป็นแหล่งผลิตผู้ที่มีความรู้ทางด้านภาษาจีนอย่างดีเยี่ยมเพราะมีครูจากไต้หวันมาสอนให้โดยเด็กนักเรียนต้องพูดภาษาจีนกันทุกคนภายในโรงเรียน เมื่อเรียนถึงขั้นสูงยังมีทุนให้ไปเรียนต่อยังประเทศไต้หวันอีกด้วย....

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ประวัติกาแฟในประเทศไทย

กาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกชนิดหนึ่ง เกษตรกรชาวไทยปลูกกาแฟเป็นพืชเศรษฐกิจทั้งภาคเหนือและภาคใต้ โดยภาคเหนือปลูกกาแฟพันธุ์อราบิก้า (Arabica) และภาคใต้ปลูกกาแฟพันธุ์โรบัสต้า (Robusta)


ประวัติกาแฟพันธุ์อราบิก้าในประเทศไทย ตามบันทึกของพระสารศาสตร์พลขันธุ์ (นายเจริณี ชาวอิตาเลียน) ในปี พ.ศ. 2454 ได้ระบุว่า กาแฟเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้มีการทดลองปลูกกาแฟอราบิก้าในฐานะพืชเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2393 โดยครั้งแรกได้นำไปปลูกไว้ที่จังหวัดจันทบุรี จึงมีชื่อเรียกว่า กาแฟจันทบูร ส่วนกาแฟพันธุ์โรบัสต้า คนไทยคนแรกที่นำมาปลูกในภาคใต้ของไทย ชื่อ นายคิหมุน นำมาปลูกเมื่อปี พ.ศ. 2447 ที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา และมีการแพร่หลายในฐานะพืชเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ โดยมีแหล่งปลูกสำคัญร้อยละ 90 อยู่ทางภาคใต้ ที่จังหวัดชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี เป็นต้น โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกทางภาคใต้ คือ พันธุ์โรบัสต้า ในขณะที่ทางภาคเหนือแหล่งปลูกสำคัญอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และแม่ฮ่องสอน โดยนิยมปลูกพันธุ์อราบิก้า

                                                                              


ในปี พ.ศ. 2500 นายสมบูรณ์ ณ ถลาง อดีตผู้อำนวยการกองการยาง กรมกสิกรรม (กรมวิชาการเกษตรในปัจจุบัน) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้นำเมล็ดกาแฟอราบิก้าจำนวน 4 สายพันธุ์ คือ ทิปิก้า (Typica), เบอร์บอน (Bourbon), แคททูรา (Caturra) และมุนดู นูวู (Mundo Novo) จากประเทศบราซิลมายังประเทศไทย โดยปลูกไว้ที่สถานีทดลองพืชสวนมูเซอ จ.ตาก สถานีทดลองพืชไร่แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ และสถานีทดลองพืชสวนฝาง จ.เชียงใหม่ เมล็ดกาแฟจากสถานทดลองทั้งสามแห่งนี้ได้แพร่กระจายไปสู่เกษตรกรชาวไทยภูเขาและพื้นราบ ซึ่งปลูกกันอย่างแพร่หลาย ต่อมาต้นกาแฟอราบิก้าเหล่านี้ได้เกิดเป็นโรคราสนิม สาเหตุจาก เชื้อรา Hem ileia vastatrix ทำให้ต้นโทรม ผลผลิตต่ำมาก จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2516 นักวิชาการโรคพืชจากกองวิจัยโรคพืช กรมวิชาการเกษตรได้ทำการสำรวจการแพร่ระบาดและความรุนแรงของโรคที่เกิดขึ้นกับกาแฟโรบัสต้าและกาแฟอราบิก้าในภาคใต้และภาคเหนือของประเทศ พบว่า กาแฟโรบัสต้าในภาคใต้ได้รับความเสียหายจากโรคราสนิมน้อยมาก เกิดขึ้นเฉพาะกาแฟอราบิก้าในภาคเหนือที่ปลูกบนภูเขาของจังหวัดตาก เชียงใหม่ เชียงราย (อ.แม่สาย) ลำปาง และน่าน ซึ่งได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งสายพันธุ์ ทิปิก้า เบอร์บอน และแคททูรา ทำให้เกษตรกรหยุดการดูแล เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องโรคราสนิมได้ จึงต้องปล่อยให้สวนกาแฟรกร้างและเลิกปลูกกันเป็นส่วนมาก


ในปี พ.ศ. 2517 โครงการหลวงพัฒนาชาวเขา ได้มีดำริที่จะทำการวิจัยและพัฒนาการปลูกกาแฟอราบิก้าบนพื้นที่สูง เพื่อทดแทนการปลูกฝิ่นของชาวไทยภูเขาในภาคเหนือ ภายใต้ความช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (USDA)ได้มอบหมายให้กรมวิชาการเกษตรดำเนินการ โดยโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้าลูกผสมรุ่นที่ 2 ที่ศูนย์วิจัยโรคราสนิมของโปรตุเกส (Coffee Rust Research Center, Oeiras, Portugal) ได้ผสมขึ้นมาเพื่อความต้านทานต่อโรคราสนิม โดยใช้พันธุกรรมที่สามารถต้านทานต่อโรคราสนิมของกาแฟอราบิก้า Hibride de Timor มาผสมกับกาแฟอราบิก้าที่มีพันธุกรรมต้นเตี้ย ผลผลิตสูง และกาแฟอราบิก้าที่มีรสชาติดี ลูกผสมรุ่นที่ 2 ทั้ง 26 คู่ผสมนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็น Hibrido de Timor derivative และกลุ่มอราบิก้าแท้ (True Arabica) โดยนำกาแฟอราบิก้าที่เพิ่งสำรวจพบ และเก็บเมล็ดมาในช่วงศตวรรษที่ 19 จากเอธิโอเปีย เช่น S.12 Kaffa, S.4 Agaro, S.6 Cioiccie Dilla Alghe เป็นต้น มาผสมกับกาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ที่ปลูกเป็นการค้า เช่น แคททูรา คาทุยอิ ในปัจจุบันกาแฟอราบิก้าลูกผสมเหล่านี้ (หลายสายพันธุ์) ได้ผ่านการทดสอบกับเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคราสนิมแล้ว จึงได้คัดเลือกต้น บันทึกผลผลิตและพัฒนามาจนถึงรุ่นที่ 4 รุ่นที่ 5 รุ่นที่ 6 ของแต่ละสายพันธุ์ ปัจจุบันได้แพร่กระจายไปตามแหล่งปลูกต่าง ๆ บนภูเขาในภาคเหนือ เช่น มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ดอยช้าง จ.เชียงราย บนพื้นที่สูงของจังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ตาก น่าน เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ตามลำดับ


ในช่วงเวลาเดียวกัน ในปี พ.ศ. 2517 กระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาได้นำเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้าพันธุ์อื่นๆ มาให้โครงการหลวงพัฒนาชาวเขาอีกชุดหนึ่ง เช่น S.288, S.353 และ S.795 ซึ่งได้ผสมและพัฒนาพันธุ์จนกระทั่งมีความคงที่และไม่ผันแปรในความต้านทานต่อโรคราสนิม และเรื่องผลผลิต มาจากประเทศอินเดีย และกาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ K.7 มาจากประเทศเคนย่า



ในปี พ.ศ. 2526 นักวิชาการจากกรมวิชาการเกษตร ได้เดินทางไปร่วมประชุมเรื่องโรคราสนิมของกาแฟ และศึกษาดูงานที่ศูนย์วิจัยโรคราสนิมของกาแฟที่ประเทศโปรตุเกส เมื่อเดินทางกลับประเทศ ได้นำเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้า คาติมอร์ (Coffee Arabica cv. Catimor) 2 เบอร์ กลับมาด้วย คือ คาติมอร์ CIFC 7962 และ คาติมอร์ CIFC 7963 หลังจากได้เพาะเมล็ดและทดสอบกล้าพันธุ์ กันเชื้อรา H. vastatric Race II ในห้องปฎิบัติการแล้ว กล้าพันธุ์เหล่านี้ได้ถูกส่งไปปลูกเพื่อทดสอบผลผลิต และความต้านทานต่อโรคราสนิมในสภาพธรรมชาติ ที่สถานีทดลองเกษตรหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่ สถานีเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และศูนย์วิจัยและส่งเสริมกาแฟอราบิก้า โครงการหลวงแม่หลอด จ.เชียงใหม่


ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 และปี พ.ศ. 2530 กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร ได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้า คาติมอร์ อีก 3 เบอร์ คือ คาติมอร์ CIFC 7958, คาติมอร์ CIFC 7960 และ คาติมอร์ CIFC 7961 จากศูนย์วิจัยโรคราสนิมของโปรตุเกส กล้าพันธุ์เหล่านี้ได้ถูกส่งไปปลูกที่สถานีเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง สถานีทดลองเกษตรที่สูง จ.เชียงราย และ ศูนย์วิจัยและพัฒนากาแฟอราบิก้า มูลนิธิโครงการหลวง แม่หลอด จ.เชียงใหม่


ในปี พ.ศ. 2531 กองโรคพืชและจุลชีววิทยา กรมวิชาการเกษตร ได้รับเมล็ดพันธุ์กาแฟอราบิก้าลูกผสมรุ่นที่ 2 ระหว่าง คาติมอร์ คาทุยอิ จำนวน 8 ชุด จากศูนย์วิจัยโรคราสนิมของโปรตุเกส กล้าพันธุ์ที่ได้หลังจากการทดสอบกับเชื้อรา H. vastatrix Race II แล้ว ได้ถูกส่งไปปลูกที่ศูนย์วิจัยและพัฒนากาแฟอราบิก้า โครงการหลวงแม่หลอด จ.เชียงใหม่ สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง ภูขัด ภูเมี่ยง และภูสอยดาว จ.พิษณุโลก


สรุปได้ว่า กาแฟอราบิก้าสายพันธุ์ต่างๆ ได้แพร่กระจายไปตามแหล่งเพาะปลูกต่างๆ บนที่สูงในพื้นที่ของ มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง จ.เชียงราย ส่วนเมล็ดพันธุ์จากสถานีของสถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร ได้ถูกส่งไปยัง สถานีทดลองเกษตรหลวงขุนวาง จ.เชียงใหม่ สถานีทดลองเกษตรที่สูงวารี จ.เชียงราย สถานีทดลองพืชสวน มูเซอ จ.ตาก สถานีทดลองเกษตรที่สูงเขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ และโครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคง ภูขัด ภูเมี่ยง และภูสอยดาว จ.พิษณุโลก และได้แจกจ่ายไปสู่เกษตรกร และชาวไทยภูเขาได้ปลูกกันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ที่มาของบทความhttp://www.purichawon.com/_histofcofet/hiscofet.asp
ตำนานการเกิดกาแฟมีหลายเรื่อง เรื่องที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปคือเรื่องนายกัลดี (Kaldi) ชาว อบิซีเนีย คนเลี้ยงแพะ ปกติจะต้อนฝูงแพะออกไปหากินอาหารตามทุ่งหญ้าเนินเขาต่างๆ ริมฝั่งทะเลแดง วันหนึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของฝูงแพะมีความคึกคักขึ้นหลังจากกินอาหารบริเวณเนินเขา คัลดี จึงตามฝูงแพะขึ้นไปพบว่าแพะเหล่านั้นกินผลไม้สุกสีแดง ทำให้พวกแพะคึกคัก กระโดดโลดเต้นอย่างคึกคะนอง คัลดีจึงลองทดสอบกินผลไม้นี้พบว่ามีความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กัลดีจึงนำผลไม้นี้ไปอวดกับพระนักบวชในหมู่บ้าน พระนักบวชจึงไปสังเกตดูต้นไม้และนำผลไม้นี้กลับมาทดลองคั่วและต้มชง ดื่มทดลองพบว่าสามารถสร้างความกระปรี้กระเปร่าทำให้สวดมนต์ได้อย่างยาวนานในตอนกลางคืนโดยไม่มีอาการง่วงนอน

อีกตำนานหนึ่งเป็นเรื่องของ อาลี บิน โอมา (Ali Bin Omar) ที่ได้กระทำผิดประเพณีกับ เจ้าหญิงและได้ถูกเนรเทศไปอยู่ที่บริเวณภูเขาในประเทศเยเมน ที่นั่นโอมาได้ค้นพบต้นไม้ที่มีดอกสีขาว สามารถต้มเมล็ดแล้วดื่ม ได้อย่างมีความสุข เมื่อเขาเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะ ได้นำเมล็ดต้นไม้นี้ไปด้วย และที่เมกกะโอมาได้ช่วยรักษาโรคหิด โรคผิวหนังของนักแสวงบุญหลายคน ด้วยเหตุนี้เมื่อเขาเดินทางกลับจึงได้รับการขนานนามให้เป็นเทวดาผู้ให้การอุปถัมถ์ต่อผู้ปลูกกาแฟ เจ้าของร้านกาแฟ และผู้ดื่มกาแฟ

ประวัติกาแฟโลก

กาแฟถูกค้นพบประมาณ ค . ศ .850 ปี ก่อนคริสศักราช ชาวแอฟริกาพื้นเมืองใช้กาแฟเป็นอาหารมานานแล้ว สันนิฐานว่ามนุษย์สมัยโบราณ อาจเรียนรู้จากการสังเกตสัตว์ว่ากินอะไรและทดลองกินพบว่า ผลกาแฟสุกมีรสหวานเป็นที่ชื่นชอบของนกและสัตว์ต่างๆ ในช่วงแรกๆ รับประทานผลสุก ต่อมานำผลสุกมาทำไวน์ เรียกว่า ควาฮ์วาฮ์ (qahwah) เมื่อลองเคี้ยวเมล็ดกาแฟ จะเกิดมีความรู้สึกว่าสบายหายเหน็ดเหนื่อยจากอากาศร้อนหรือการเดินทางไกล เพราะกาแฟมีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นร่างกาย ทำให้กาแฟได้เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ต่อมามีการพัฒนานำเมล็ดกาแฟมาป่นผสมไขมันสัตว์ปั้นเป็นก้อนไว้กินเป็นอาหารติดตัวในการเดินทางชาวพื้นเมืองบางเผ่าในแอฟริกา ใช้กาแฟเซ่นไหว้พระเจ้า และผีสางที่นับถือ ในพิธีฉลองสาบานพี่น้องร่วมสายโลหิต มีการแกะเมล็ดกาแฟจากผลกาแฟสองเมล็ดแบ่งให้พี่น้องคนละหนึ่งเมล็ด เพื่อนำไปจุ่มหรือทาด้วยโลหิตของตนและมอบให้พี่น้องแต่ละคนไปเคี้ยวรับประทาน กาแฟเป็นของขวัญที่มอบให้แก่แขกที่มาเยี่ยมเคี้ยวก่อนที่จะเลี้ยงอาหารเป็นต้น ต่อมากาแฟจึงถูกนำมาใช้เป็นเครื่องดื่มในระยะแรกใช้เมล็ดกาแฟใส่ในน้ำต้มบนกองไฟ จนน้ำกาแฟออกเป็นสีเหลืองกาแฟได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีการตากเมล็ดกาแฟเพื่อให้เก็บไว้ได้นานขึ้น มีการคั่วบด แช่ ต้ม กาแฟ โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆ เช่น ครกบด กระทะ เครื่องต้ม กาแฟ ฯลฯ เพื่ออำนวยความสะดวกยิ่งขึ้น

ในราว ค . ศ .1000 การค้าทาสกำลังเฟื่องฟู พ่อค้าทาสนำทาสนิโกรจากทางใต้ของซูดาน ไปประเทศซาอุดิอาระเบีย พ่อค้าทาสและพวกทาสได้นำผลและเมล็ดกาแฟติดตัวไปด้วย การปลูกกาแฟของชาวอาหรับถูกเก็บเป็นความลับและเมล็ดกาแฟเป็นสิ่งหวงห้าม เมล็ดการแฟดิบนำออกนอกประเทศ ยกเว้นต้องต้มหรือลวกในน้ำร้อน แต่เมล็ดกาแฟยังถูกลักลอบนำออกไปแพร่กระจายจากเมกกะโดยผู้แสวงบุญที่กลับจากเมกกะไปยังประเทศมุสลิมของตนเองทั่วโลกราวศตวรรษที่ 9 กาแฟเป็นพืชที่รู้จักกันดีในแถบตะวันออกกลาง จนถึงต้นศตวรรษที่ 14 ชาวอาหรับเริ่มการปลูกกาแฟเป็นการค้า บริเวณคาบสมุทรอาระเบียใกล้เมืองท่ามอคค่า (Mocha) ต่อมากาแฟแถบนี้กลายเป็นสายพันธุ์กาแฟที่มีชื่อเสียง ศตวรรษที่ 15 กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในประเทศตะวันออกกลางและดินแดนอาหรับ จากอียิปต์ เมกกะและซีเรียแล้วเข้าสู่เมืองคอนสแตนติโนเบล ประเทศตุรกี ในสมัยออตโนมัน ราวปี ค . ศ .1453 ในช่วงแรก ชาวเติร์กดื่มกาแฟที่บ้านและใช้ต้อนรับอาคันตุกะผู้มาเยี่ยมเยียนจนในปี ค . ศ .1554 ร้านกาแฟร้านแรกในโลกเกิดขึ้นที่นครคอนสแตนติโนเปิล ปัจจุบันคือเมืองอิสตันบูล โดยชาวซีเรีย 2 คน มีการเสริฟกาแฟในร้านที่มีโซฟาที่สวยงามสะดวกสบาย เป็นแหล่งที่พบปะพูดคุยของคนทั้งกวี นักนิยมศิลปและวรรณกรรมนักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง ฯลฯ ร้านกาแฟได้รับความนิยม มีการขยายร้านกาแฟมากขึ้น จนถือได้ว่าเป็นร้านกาแฟต้นแบบในเมืองต่างๆ ของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17-18 จนถึงปัจจุบัน

 
Design by Free WordPress Themes | Bloggerized by Lasantha - Premium Blogger Themes | Hot Sonakshi Sinha, Car Price in India